Santorini เป็นหนึ่งในเกาะที่สวยงามและท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงในประเทศกรีซนอกจากนี้Santoriniเป็นหนึ่งในเกาะที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในทะเลอีเจียนนี่คือบางข้อมูลเกี่ยวกับSantorini
ซานโตรินีSantoriniเป็นหนึ่งในหมู่เกาะในทะเลอีเจียนที่ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของกรีซชื่อเต็มของเกาะนี้คือทีราสิยา(Thira)แต่มักจะเรียกว่าซานโตรินีเกาะนี้เป็นหนึ่งในที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในกรีซและทั่วโลก
ความเป็นมาทางภูมิศาสตร์ของซานโตรินีเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์การระเบิดของภูเขาไฟที่เกิดขึ้นในอดีตประมาณ 3,600ปีที่แล้วเกิดการระเบิดของภูเขาไฟที่ใหญ่ทำให้แหล่งดินปูนทั้งหมดบนเกาะได้รับผลกระทบจนเกิดทะเลสาบรอบโคกเขาไฟจากระบบทะเลสาบนี้เกิดปรากฎการท่ามกลางทะเลที่สวยงามที่เราเห็นวันนี้
ซานโตรินีเป็นที่ท่องเที่ยวที่มีลักษณะเอนกประสงค์ โดยเฉพาะมุมมองของพระอาทิตย์ตกที่เรียกว่า”Caldera”ที่ทำให้ซานโตรินีเป็นที่นิยมมากเมืองที่สำคัญบนเกาะรวมถึงเมืองฟีรา(Fira)และเมืองอีอา(Oia)ทั้งสองเมืองนี้มีบ้านที่สวยงามทำจากกำแพงสีขาวและหลังคาสีน้ำเงินที่สามารถมองเห็นได้จากทะเล
นอกจากนี้ซานโตรินียังมีศาลาว่าการและวัดโบรชี(Orthodox Metropolitan Cathedral)ที่มีความสำคัญทางศาสนา รวมถึงที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์อื่นๆเช่นเมืองฮีราโปลิส(Hierapolis)ที่มีโรงละครและภูเขาไฟซานโตรินีเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งศรัทธาที่มีบรรยากาศโรแมนติกและมีการบรรยายที่หลากหลาย
ความเป็นมา
- Santorini(หรือThira ในภาษากรีซ)เป็นเกาะที่ถูกสร้างขึ้นจากเสาอัคคีวัลกานิตี้(Caldera)ซึ่งเกิดขึ้นหลังจากการระเบิดภูเขาไฟในประวัติศาสตร์เมื่อภูเขาไฟที่อยู่ที่นครทีรา(เกาะนีอา),เสาอัคคีวัลกานิตี้ล้มลงและทำให้พื้นที่ที่ว่างเปล่าเติบโตขึ้น
บรรยากาศ
- Santoriniมีบรรยากาศที่อบอุ่นและมีลมทะเลเต็มไปด้วยท้องฟ้าสวยงามและทะเลสีคริสตัลชัดเจน
บุคลิกภาพและท่องเที่ยว
- เมืองอันนา (Oia) ที่ตั้งอยู่บนด้านทิศเหนือของเกาะเป็นที่รู้จักมากที่สุด เมืองนี้มีบ้านท่ามกลางธรรมชาติที่สวยงามและถูกสร้างขึ้นบนดาดฟ้าของไฟไหม้ไฟไหม้ของSantorini
- เมืองฟีร่า (Fira) เป็นเมืองหลักแห่งเกาะและเป็นที่ตั้งของหลายร้านค้า, ร้านอาหาร, และคาเฟ่. มีวิวที่น่าทึ่งของเสาอัคคีวัลกานิตี้
ภูเขาไฟ
- Santoriniมีภูเขาไฟที่เคยระเบิดและทำให้เกิดเสาอัคคีวัลกานิตี้ ที่ถือเป็นจุดชมวิวที่สำคัญและสนับสนุนการท่องเที่ยว
ชายหาดและทะเล
- มีชายหาดทราบรู้กันดีมากในSantoriniซึ่งมีทรายสีดำและแดดที่อบอุ่น บางชายหาดที่รู้จักที่สุดคือ ชายหาดคามารี (Kamari) และชายหาดพีรา (Perissa)
โบราณสถาน
- มีโบราณสถานที่สำคัญเช่น เมืองสตรองที่ถูกฝังทะเลหลังจากไฟไหม้ของSantoriniและไร่องุ่นของวินทาโฮระ
ไป Santorini ประเทศกรีซช่วงเวลาไหนดีที่สุด
เวลาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการเยี่ยมชมSantoriniขึ้นอยู่กับความpreferentialของคุณและประสบการณ์ที่คุณต้องการนี่คือข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับช่วงเวลาที่เหมาะสม
ฤดูร้อน (เดือนเมษายน – ตุลาคม)
- เวลานี้เป็นฤดูร้อนที่สุดและเหมาะสำหรับผู้ที่ชอบอากาศร้อน
- มีพื้นที่ท่องเที่ยวและชายหาดที่คึกคักมาก
- ร้านอาหาร, ร้านคาเฟ่, และร้านค้าจะเปิดทำการ
- ควรจองที่พักล่วงหน้า
ฤดูหนาว (เดือนพฤศจิกายน – มีนาคม)
- เวลานี้จะเย็นลง, แต่ยังคงอากาศเย็นอบอุ่น
- ช่วงเวลานี้น้อยคนและราคาที่พักลดลง
- มีโอกาสในการเพลิดเพลินกับความสงบของเกาะ
- บางสถานที่ท่องเที่ยวอาจปิดหรือมีเวลาเปิดทำการลดลง
หลีกเลี่ยงช่วงฤดูหนาว (ธันวาคม – กุมภาพันธ์)
- อากาศเย็นมากๆ และบางร้านค้าหรือสถานที่ท่องเที่ยวอาจปิด
- ไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวมาก
- บางกิจกรรมท่องเที่ยวอาจจะมีจำกัด
รวมทั้งหมดควรพิจารณาปัจจัยเหล่านี้เพื่อตัดสินใจเลือกเวลาที่เหมาะสมที่สุดตามความต้องการและประสบการณ์ที่คุณต้องการจากการเยี่ยมชมSantorini
เซนโตรินีSantoriniเป็นเกาะที่มีทั้งภูเขาไฟสวยงาม,บรรยากาศโรแมนติกและทรัพยากรทางท่องเที่ยวที่หลากหลายนอกจากนี้เมืองเอีย(Oia)ที่ตั้งทางตอนเหนือของเกาะ,เป็นจุดที่มีการชมพระอาทิตย์ตกที่ล้ำลึกและมีอากาศที่โรแมนติกมาก
สำหรับการเลือกที่พักถ้าคุณต้องการบรรยากาศโรแมนติกและที่พักที่ใกล้กับแหล่งท่องเที่ยวหลักเช่นที่พักในเมืองOiaจะเป็นทางเลือกที่ดีส่วนเมืองFiraเป็นศูนย์กลางของการเดินทางและมีการเข้าถึงสะดวกสบายหากคุณต้องการแบบที่พักที่ใกล้กับชายหาดและมีบรรยากาศสดชื่นคามารี(Kamari)และเพริสซา(Perissa)จะเป็นทางเลือกที่ดี
ส่วนทางตอนตะวันออกของเกาะมีชายหาดทรายสีดำที่สวยงามอย่างคามารี(Kamari),เพริสซา(Perissa)และเพริสโวลอส(Perivolos)บริเวณนี้มีบรรยากาศที่มีชีวิตและเป็นที่ตั้งของร้านอาหาร,บาร์,และกิจกรรมน้ำมากมาย ดังนั้นขึ้นอยู่กับความต้องการและความชื่นชอบของคุณคุณสามารถเลือกที่พักในพื้นที่ที่เหมาะสมกับคุณได้ตามความต้องการของคุณค่ะสามารถดูเพิ่มเติมได้ที่ misterolive.net
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *